ก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ระบุเมื่อวันพุธ (15 พ.ย.) ว่าความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้ว พร้อมเตือนว่าแนวโน้มนี้ “ไม่มีทางสิ้นสุด” คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นหลายสัปดาห์ก่อนที่ผู้นำโลกจะรวมตัวกันที่ดูไบเพื่อเข้าร่วมการประชุมสภาพภูมิอากาศประจำปีของสหประชาชาติ COP28 ซึ่งรัฐบาลต่างๆ จะผลักดันให้เกิดการดำเนินการด้านสภาพอากาศที่มากขึ้น รวมถึงการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลก่อนปี 2050
ก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด
ในปี 2022 ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ยทั่วโลกสูงกว่ายุคก่อนอุตสาหกรรมถึง 50 เปอร์เซ็นต์เต็มเป็นครั้งแรก หน่วยงานพยากรณ์อากาศของสหประชาชาติ ระบุ “แม้จะมีคำเตือนมานานหลายทศวรรษจากชุมชนวิทยาศาสตร์ รายงานหลายพันหน้า และการประชุมเรื่องสภาพอากาศหลายสิบครั้ง เรายังคงมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ผิด” เพตเตรี ตาลาส เลขาธิการ WMO กล่าว
ตาลาสกล่าวว่าความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกที่สูงขึ้นจะมาพร้อมกับเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง เช่น ความร้อนและฝนที่รุนแรง น้ำแข็งละลาย ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ตลอดจนความร้อนในมหาสมุทรและความเป็นกรด “ประมาณครึ่งหนึ่งของโลกกำลังเผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วมที่เพิ่มขึ้น และหนึ่งในสามของโลกกำลังเผชิญกับเหตุการณ์ภัยแล้งที่เพิ่มขึ้น” ตาลาสกล่าว “และแนวโน้มเชิงลบนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงปี 2060” “เราต้องลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเร่งด่วน” เขากล่าว
ความเข้มข้นของมีเธนในชั้นบรรยากาศก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน และระดับไนตรัสออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกอีกชนิดหนึ่ง เพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบเป็นรายปีเป็นประวัติการณ์ระหว่างปี 2564 ถึง 2565 WMO ระบุ ก๊าซเรือนกระจกมีหน้าที่ทำให้โลกร้อนขึ้นและก่อให้เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ต่างจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนใหญ่ที่ปล่อยออกมาเมื่อหลายสิบปีก่อนยังคงอยู่ในชั้นบรรยากาศและกระตุ้นกระบวนการที่ช้า เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล
“ต้องใช้เวลาหลายพันปีในการกำจัดคาร์บอนออกจากระบบเมื่อถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ” ทาลาสกล่าว รายงานของสหประชาชาติอีกฉบับที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร ระบุว่า รัฐบาลต่างๆ มีความคืบหน้าไม่เพียงพอในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดจากภาวะโลกร้อน
โดย : ufa168
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *